หลายครั้งที่เวลาเราเห็นภาพดวงดาวกัน ไม่ว่าจะเป็นดาวบนฟ้าทั่วไป หรือดาวที่มีลักษณะแปลกๆ มันมีจริงมั้ยนะ หรือว่าเขาเอาภาพมาซ้อนกัน ถ้ามันมีอยู่จริง ทำยังไงเราจะถ่ายได้ล่ะ เรามาลองดูกันครับ
ทางช้างเผือกคืออะไร
ทางช้างเผือก หรือ Milky Way คือดาราจักรที่เป็นที่ตั้งของระบบสุริยะและโลกของเรา มาจากคำภาษากรีกที่แปลว่า “วงกลมสีน้ำนม” เพราะฉะนั้น หากเราตั้งค่า White Balance ถูกต้อง ในกรณีที่ไม่มีแสงใดใดรบกวนเลย สีทางช้างเผือกจะออก สีครีมเหมือนน้ำนม ตามความหมายของชื่อนั่นเอง (White Balnce ที่แนะนำอยากให้ใช้เป็นค่า K ราวๆ 4000k-4800k ตามสภาพแสงหน้างานครับ)
ดาวที่เราเห็นนั้น ก็เป็นแสงชนิดนึง ที่ตาเราพอจะเห็นเป็นจุดกลมๆ อยู่บนท้องฟ้าของเรา แต่หากเราลองมองดีๆ ในวันที่มืดสนิท ไม่มีแสงใดใดรบกวนตาเราเลย เราจะเห็นอะไรแปลกๆ เป็นกลุ่มควันวงรีพาดยาวจากซีกฟ้านึง ไปอีกซีกฟ้านึง โดยที่ใจกลางทางช้างเผือกนั้น “จะเริ่มพ้นขอบฟ้าที่ทิศตะวันออกเฉียงใต้” โดยจะมีลักษณะเป็นแนวนอนขนานกับเส้นขอบฟ้าในช่วงต้นปี และโค้งเป็นคันธนูตอนกลางปี แล้วไปตะแคงตกช่วงปลายปีครับ
ทำไมถ่ายไม่ได้ทุกวัน
เนื่องจากช่วง ปลายเดือนพฤศจิกายนจนถึงปลายมกราคม ดวงอาทิตย์จะเคลื่อนที่เข้าไปอยู่บริเวณใจกลางทางช้างเผือก ในกลุ่มดาวคนยิงธนู ทำให้เราจะไม่สามารถสังเกตเห็นใจกลางทางช้างเผือกได้เพราะแสงดวงอาทิตย์สว่างรบกวนไปจนถึงเดือนกุมภาพันธ์ของปีหน้า “ทำให้เราถ่ายได้ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนตุลาคมนั่นเองครับ”
ปัจจัยที่ทำให้ถ่ายทางช้างเผือกไม่ได้
หากอยู่ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนตุลาคมแล้วก็ไม่ได้แปลว่าเราจะถ่ายได้ตลอดทุกวัน
เพราะแสงรบกวนต่างๆดังนี้ครับ
-
พระจันทร์ หากพระจันทร์ลอยอยู่บนท้องฟ้า นั่นจะทำให้เราถ่ายไม่ติดครับ เพราะความสว่างของแสงจันทร์นั้นสว่างกว่าใจกลางทางช้างเผือกอยู่มาก การศึกษาเวลาขึ้นและตกของพระจันทร์จึงสำคัญต่อการวางแผนเดินทางไปถ่ายทางช้างเผือกครับ
-
ไฟจากตัวเมือง ไฟ 1 ดวง เราอาจจะมองว่ามันก็ไม่ได้สว่างอะไรขนาดนั้น แต่พอมันรวมๆกันมากๆเข้า ก็สามารถรบกวนเราตอนถ่ายได้ไม่แพ้พระจันทร์เลยครับ เพราะฉะนั้น “เราจึงควรอยู่ห่างจากกลุ่มไฟในตัวเมืองอย่างน้อยราวๆ 20km ไปแล้ว” ถึงจะพอถ่ายได้ครับ
-
เมฆและฝุ่น อันนี้เป็นเรื่องของธรรมชาติล้วนๆ ซึ่งอันนี้ต้องอยู่ที่ “ดวง” จริงๆครับ อาจจะขอพูดติดตลกว่าควรทำบุญให้มากๆก่อนไปถ่ายนั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น สำหรับฝุ่น มันจะลอยอยู่ในช่วงราว 2000m จากระดับน้ำทะเล การที่เราไปหาจุดถ่ายสูงๆกว่าระดับดังกล่าว จะทำให้เรารอดจากน้องฝุ่นได้นั่นเองครับ
อุปกรณ์ที่ต้องใช้
-
กล้อง แน่นอน ไม่มีแล้วเราจะเอาอะไรถ่ายละเนอะ แต่อยากจะแนะนำเป็นกล้องแบบเปลี่ยนเลนส์ได้ ส่วนขนาดของเซ็นเซอร์นั้น แนะนำว่าควรจะเป็นระดับ aps-c ขึ้นไป ยิ่งเป็น full frame ได้จะยิ่งได้ภาพที่ดีขึ้นครับ
-
เลนส์ เนื่องจากทางช้างเผือกมีขนาดใหญ่ หากต้องการเก็บได้แบบครบๆ เราจึงควรใช้เลนส์มุมกว้าง หรือ เลนส์ wide นั่นเอง ระยะบนกล้องฟูลเฟลมก็ ประมาณ 20mm ลงไป และหากจะถ่ายได้สวยงามมากขึ้น ควรมีค่า f หรือ รูรับแสงที่ต่ำกว่า 2.8 ลงไป ครับ
-
ขาตั้งกล้อง อันนี้สำคัญมากไม่แพ้กันเลย เพราะถ้าไม่มีขาตั้งกล้องแล้ว เราคงถ่ายภาพกลางคืนได้ยากและลำบากมากๆเลยครับ
-
สายลั่นชัทเตอร์ เป็นอุปกรณ์ช่วยถ่ายภาพแบบ long exposure หรือ การเปิดม่านชัทเตอร์รับแสงนานๆได้รวดเร็วมากขึ้น เพราะการกดถ่ายด้วยนิ้วเรานั้น อาจทำให้กล้องขยับได้ เป็นเหตุให้ภาพเราเบลอนั่นเองครับ
-
ไฟฉาย เนื่องจากเวลาที่ถ่ายเป็นเวลากลางคืน และมืดมาก ไฟฉายควรมีดีกว่าไม่มีนะครับ
-
อันนี้แถมให้ นั้นคือ ยากันยุง ครับ การถ่ายทางช้างเผือกนั้น มักใช้เวลาค่อนข้างนาน อาจจะต้องเจอกับยุงตัวปัญหากวนใจได้ ยากันยุงนี่ก็ช่วยให้เราถ่ายได้อย่างสบายใจขึ้นมากเลยครับ
การโฟกัส
ในส่วนของการโฟกัส ให้ใช้ Manual Focus โดยใช้ Live View ร่วมกับการซูมโฟกัส มองหาตำแหน่งดาวที่สว่างที่สุด แล้วทำการหมุนโฟกัสเองจนกว่าดาวจะเป็นจุดกลมๆที่เล็กที่สุด เมื่อได้แล้ว เราสามารถใช้ถ่ายได้ไปตลอดทั้งคืนเลยครับ
ในแง่ของแสง
เนื่องจากแสงจากดวงดาวนั้นสว่างน้อยมาก การตั้งค่านั้นจึงจำเป็นให้รับแสงได้มากที่สุด
ค่ารับแสง 3 ค่าที่เราจะต้องปรับจึงต้องไปในทางรับแสงเข้ากล้องมากๆนั่นเอง
-
ค่า f ควรใช้น้อยสุดเท่าที่จะทำได้ ใคร f น้อยกว่าก็ได้เปรียบนะครับจุดนี้
-
ค่า speed shutter มีข้อจำกัดว่านานไม่ได้ เพราะดาวที่ยังดูโอเคอยู่นั้น มักจะยังคงเห็นเป็นจุดกลมๆในภาพ และปัญหาต่อมาคือ โลกเราไม่ได้อยู่นิ่งๆเสียทีเดียว ทำให้เกิด “กฏ 500” ขึ้นมาในการคิดค่าความเร็วชัทเตอร์ที่จะใช้ครับ โดยหลักการคือ ให้นำ 500 ตั้ง แล้วหารด้วยระยะของเลนส์ที่ใช้ จะได้ค่าประมาณของค่าสปีดนั่นเอง เช่น ใช้เลนส์ 20mm บนกล้องฟูลเฟลม จะเกิดสมการดังนี้ 500/20 = 25 วินาทีนั่นเอง (ตรงนี้หากใช้น้อยลงได้ ก็จะยิ่งได้ดาวที่กลมมากกว่าเดิมครับ)
-
iso อันนี้อยู่ที่คุณภาพของกล้อง ว่าดันไปได้เท่าไหร่แล้วภาพยังอยู่ในจุดที่รับได้ครับ
ทำให้สรุปได้ว่า สมการแสงที่จะได้ใช้ คือ
ss = 500/ระยะเลนส์ , f ที่น้อยที่สุดของเลนส์เรา , iso ตามที่ถ่ายแล้ว ได้ดาวสว่างพอดีๆ
ซึ่งจะพอไกด์ค่า iso เมื่อใช้ค่า f ตามที่มีได้อย่างง่ายๆดังนี้
-
f 1.4 iso 800
-
f 2.0 iso 1600
-
f 2.8 iso 3200
-
f 4.0 iso 6400
ปล. หากลองแล้วสว่างหรือมืดเกินไป ก็ค่อยปรับ iso ตามสภาพแสงหน้างานครับ
ในแง่ของสี
เรื่องสีของทางช้างเผือกนั้น จะอยู่ที่เราเซตค่า White Balance ซึ่งแนะนำว่า ให้ใช้ค่า K เป็นตัวกำหนด เพื่อให้เกิดสีที่คงที่ระหว่างการถ่าย โดยจะค่าราวๆ 4000k-4800k อาจจะน้อยกว่านั้นได้หากต้องการย้อมให้เกิดความสวยงามตามความชอบของตัวเอง แต่หากอ้างอิงจากความถูกต้องนั้น สีของท้องฟ้าในขณะที่ฟ้ายังมืดดำสนิท ภาพที่ออกมาท้องฟ้าจะมีสำดำสนิท และ จะได้สีของใจกลางทางช้างเผือกเป็นสีครีมน้ำนม ครับ